[fic yaoi] One night stand, love last forever ::: Jin x P - [fic yaoi] One night stand, love last forever ::: Jin x P นิยาย [fic yaoi] One night stand, love last forever ::: Jin x P : Dek-D.com - Writer

    [fic yaoi] One night stand, love last forever ::: Jin x P

    คุณค่าของชีวิตคนเราอยู่ตรงไหนกันนะ... การได้เกิดมาเป็นที่รักของใครสักคนหรือเปล่า... ถ้าเป็นอย่างนั้น ชีวิตของผมคงไม่มีคุณค่าอะไรเลย...

    ผู้เข้าชมรวม

    1,034

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    14

    ผู้เข้าชมรวม


    1.03K

    ความคิดเห็น


    11

    คนติดตาม


    7
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  12 มี.ค. 52 / 14:41 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น



    [SF]  One night stand..Love last forever



                          ก่อนอื่นเลยนะ ต้องขอบอกก่อนเลยว่า แรงบันดาลใจในการแต่งฟิคเรื่องนี้มากจากการอ่านฟิค LOVE XXX ของ nakane_honey bee ค่ะ  แต่ของต้นฉบับมันเป็นพีเรียวไง ก็เลยมีความรู้สึกว่า เอ...ถ้าคนโดนกระทำไม่ใช่เรียวจัง แต่เป็นพีจังมันจะเป็นยังไงน้า ... แล้วใครล่ะจะเป็นพระเอกซาดิสม์ของพีจัง ก็นึกถึงใครไม่ออก นอกจากหน้าจินลอยมาเลยค่ะ ส่วนบทพี่ชายที่แสนดีก็ต้องเป็นโทมะเท่านั้น ...(เพราะเท่าที่เคยอ่านฟิคมา รักที่เสียสละที่มีต่อพีจังเนี่ย ต้องเป็นโทมะเท่านั้นเลยค่ะ)

                        แล้วพล๊อตรองของเรื่องก็ได้มาจากประโยคเด็ดจาก 1 litre of tears ที่อาโซคุงพูดกับพ่อหรือพูดกับนางเอกเนี่ยล่ะค่ะ เรื่องเกี่ยวกับความเห็นแก่ตัวในการที่เข้ารับการรักษาพยาบาล แต่ถ้าเป็นคนที่เรารัก...เราก็ไม่อยากให้เขาตายใช่มั้ยล่ะคะ รวมกันไป ผสมกันมา ก็กลายมาเป็นเรื่องนี้ล่ะคะ  หวังว่าอ่านกันแล้วจะสนุกนะคะ....




    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      [SF] One night stand…..Love last forever

      Starring : Jin Akanishi, Tomohisa Yamashita, Toma Ikuta

      Story : zaa_limp

       

       

       

                      คุณค่าของชีวิตคนเราอยู่ตรงไหนกันนะ... การได้เกิดมาเป็นที่รักของใครสักคนหรือเปล่า... ถ้าเป็นอย่างนั้น ชีวิตของผมคงไม่มีคุณค่าอะไรเลย...

       

                      แสงไฟส่องทางบนถนนยามค่ำคืน ส่องให้เห็นหนทางข้างหน้าเพียงเลือนลาง ไม่ต่างอะไรกับชีวิตของผม ผมเดินไปข้างหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง ร่างกายเจ็บปวดราวจะแตกเป็นเสี่ยงๆ  ผมโอบกอดตัวเองในความมืด สองเท้ายังคงเดินต่อไปข้างหน้าอย่างไร้ทิศทาง ผมเฝ้าเพียรเช็ดน้ำตาที่ร่วงหล่นหยาดแล้วหยาดเล่า แต่มันก็ยังหลั่งรินออกมาไม่ขาดสาย

                      ... ผมเกิดมาเพื่ออะไรกันนะ... นั่นเป็นคำถามที่เกิดขึ้นในหัวของผมเวลานี้ เขาว่ากันว่า...ลูก...เกิดจากความรักของพ่อกับแม่ แต่สำหรับผมแล้ว... มันก็แค่อารมณ์ชั่ววูบของชายหญิงคู่หนึ่งเท่านั้น  ผมจึงเติบโตขึ้นมาพร้อมความเกลียดชัง หลังจากที่แม่แต่งงานใหม่ ผมจึงกลายเป็นส่วนเกินของครอบครัวอย่างแท้จริง ผมเลือกที่จะยอมรับทุกอย่าง หากไม่เกิดเหตุการณ์วันนี้ขึ้น ผมคงคิดว่าผมรับทุกอย่างได้แน่ๆ ... เชื่อมั้ยครับ เวลาคนเรามีเรื่องทุกข์ใจ คนแรกที่เราคิดถึง อยากได้รับอ้อมกอดของเขามากที่สุดก็คือ..แม่... ผมก็เหมือนกัน หลังจากผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต คนที่ผมอยากให้เขาปลอบมากที่สุดก็คือแม่... แต่สิ่งที่ผมเจอ มันไม่ใช่เลย ผมปาดน้ำตาอีกครั้ง...  ก่อนจะหยุดอยู่ที่ราวสะพาน มองผืนน้ำที่นิ่งสงบ จะเป็นยังไงนะ ถ้าผมได้ลงไปเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำนี้ ...ผมคงนอนหลับได้นิ่งๆ ในอ้อมกอดของสายน้ำ ไม่ต้องทนรับต่อแรงกดดันใดๆ ... ผมปีนราวสะพานขั้นแล้วขั้นเล่า ลมเย็นๆ ในยามดึกพัดกระทบผิวหน้าจนเย็นเยียบ แต่มันยังไม่เท่าความเหงาและเปล่าเปลี่ยวที่เกาะกินหัวใจจนชา... ผมสูดหายใจลึกๆ เข้าปอด ราวกับจะบอกลาลมหายใจนั้นเป็นครั้งสุดท้าย

      ลาก่อน... ความเหงา ความเจ็บปวดทั้งปวง....

                  พลั่ก....

                      ด้านหนึ่งของร่างกายรู้สึกถึงแรงกระแทก แต่ไม่มีความเจ็บปวดใดๆ  ร่างกายรู้สึกได้ถึงความอ่อนนุ่มของผิวเนื้อของใครบางคนที่ตระกองกอดไว้

                      .... นี่ผมตายแล้วหรือเนี่ย... ช่างเป็นความตายที่อบอุ่นเหลือเกิน ....

                      “คุณ! ไม่เป็นไรใช่มั้ย”  เสียงเรียกจากเจ้าของอ้อมกอด ทำให้โทโมฮิสะค่อยๆ ลืมตาอย่างมึนงง เขายังมีลมหายใจอยู่ เขาควรจะตายไปแล้วไม่ใช่หรอ  ทันทีที่ได้สติ โทโมฮิสะกลับผลักร่างสูงออกไป และพยายามดิ้นรนออกจากอ้อมกอดนั้น ประสบการณ์เลวร้ายก่อนหน้ายังคงหลอกหลอนเขามาจนถึงตอนนี้

      ...น่ากลัวเหลือเกิน...

                      “แก! แกเป็นใคร ออกไปให้พ้นนะ อย่ามาแตะต้องตัวฉัน”  โทโมฮิสะกรีดร้อง ร่างสูงชะงักมองภาพตรงหน้า เด็กผู้ชายหน้าหวานกำลังนั่งตัวสั่นเทาราวกับเพิ่งเผชิญสิ่งที่น่ากลัวที่สุด น้ำตาไหลอาบสองข้างแก้ม แววตาหวาดกลัวของร่างบางไม่ได้เสแสร้งเลยแม้แต่น้อย  เขายืนนิ่งปล่อยให้คนตรงหน้าสงบสติอารมณ์  พลางนึกหาสาเหตุที่ทำให้คนตรงหน้าคิดทำในสิ่งที่ไม่ควรอย่างยิ่ง ...ฆ่าตัวตาย... 

                      เป็นความบังเอิญหรือโชคชะตาที่ทำให้เขาต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับเด็กที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นคนนี้ หลังจากออกเวรตอนเที่ยงคืน โทมะขับรถยนต์ผ่านมาบนถนนเส้นเดิม ผ่านมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำ อยู่ๆ รถของเขาก็เกิดเสียกระทันหัน กำลังก้มๆ เงยๆ ซ่อมเครื่องยนต์อยู่ดีดี สายตาก็เหลือบเห็นใครคนหนึ่งเดินร้องไห้ผ่านไป สภาพของเด็กคนนั้นเหมือนผ่านความทุกข์ที่แสนสาหัสในชีวิต  ทันทีที่เห็นแววตาเหม่อลอยเหมือนไม่เหลืออะไรในชีวิตของเด็กคนนั้น โทมะก็อดไม่ได้ที่จะเดินตามเด็กคนนั้นไป แล้วต้องกลายเป็นวิ่งไปกระชากร่างนั้นลงมาจากราวสะพาน ทันทีที่คาดเดาการตัดสินใจของเด็กคนนั้นได้

                      “ฉัน... ไม่ได้คิดจะทำร้ายนาย”  โทมะว่าพลางทรุดลงนั่งข้างๆ ร่างบางที่ยังคงกอดตัวเองร้องไห้ไม่หยุด เอื้อมมือไปหมายจะปัดผมที่ปรกหน้าให้ แต่ก็โดนร่างบางปัดมือนั้นทิ้งอย่างไม่ใยดี

                      “ผมยังจะไว้ใจใครได้อีก ... ไม่มีแล้ว ไม่มีแล้วจริงๆ “  พูดจบ ร่างบางก็ร้องไห้อีก

                      “ฉันไง นายไว้ใจฉันได้ เพราะฉันจะไม่มีวันทำร้ายนาย”  ร่างสูงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น โทโมฮิสะช้อนสายตาขึ้นมองคนตรงหน้าอย่างชั่งใจ ก่อนที่จะเหลือบไปเห็นรอยเลือดจางๆ ที่ซึมออกมานอกเสื้อเชิ้ตสีขาวที่อีกคนใส่อยู่

                      “คุณเลือดออก”   โทโมฮิสะพูดอย่างตกใจ

                      “ไม่เป็นอะไรหรอก แค่นี้เอง”  โทมะยิ้มจางๆ น่าแปลกที่เขาไม่รู้สึกเจ็บแผลเลยสักนิด น้ำตาของเจ้าตัวเล็กตรงหน้ายังสร้างความเจ็บปวดให้เขาได้มากกว่าเสียอีก ... ความสงสาร... คงจะใช่

                     

                      ร่างบางกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามคนตัวสูงกว่าที่เดินนำหน้าเข้าไปในโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่รอยเลือดที่ซึมออกมาเปื้อนเสื้อเชิ้ตสีขาว ยิ่งนาน รอยเลือดนั้นก็ยิ่งแดงชัดขึ้น

                      “คุณหมออิคุตะ ออกเวรแล้วไม่ใช่หรอคะ รึว่าลืมของ  แล้วนั่นแขนไปโดนอะไรมาคะ” เสียงพยาบาลนางหนึ่งร้องทักร่างสูง ก่อนที่จะกระวีกระวาดทำแผลให้กับคนที่เจ้าตัวเรียกว่า “คุณหมอ”  ....

                      “คุณหมออย่างนั้นหรอ”  โทโมฮิสะพึมพำกับตัวเอง

                      โทโมฮิสะได้แต่ยืนมองพยาบาลทำแผลให้คุณหมออิคุตะอยู่ห่างๆ  แต่ไม่ว่าเขาจะยืนอยู่ตรงไหน ก็ดูจะเกะกะไปเสียหมด เขาจึงปลีกตัวออกมานั่งรออยู่ข้างนอก ร่างบางเหม่อมองเพดานอย่างเลื่อนลอย จะเอายังไงต่อไปกับวันพรุ่งนี้ดีนะ เขาจะไปที่ไหนดี .... กลับบ้าน... จิตใต้สำนึกบอกเขาแบบนั้น .... แต่แล้วภาพเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นก็แว่บเข้ามาในสมอง

                      โทโมฮิสะจำได้ว่าคืนก่อนนี้ เขานัดกับเพื่อนไปฉลองเรียนจบ ทั้งที่เป็นคนไม่เคยกินเหล้า แต่ก็ทนต่อคำเรียกร้องของเพื่อนไม่ไหว เขาดื่มไม่มากเลยจริงๆ แต่เขาก็เมาจนหมดสติไป... เมาอย่างนั้นหรอ... ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ ตื่นลืมตามาอีกที ก็ตอนที่รู้สึกถึงการถูกคุกคามจากใครบางคน แม้สมองจะหนักอึ้งแต่เขาก็จำหน้าคนสารเลวคนนั้นได้ติดตา โทโมฮิสะทั้งร้องทั้งดิ้นรน แต่ไม่มีทีท่าว่าคนเลวคนนั้นจะหยุดการกระทำป่าเถื่อนนั่นเลย รอยจูบที่เต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ทำให้โทโมฮิสะต้องเบือนหน้าหนี  เสื้อผ้าถูกฉีกจนขาดเป็นริ้ว ร่องรอยความอัปยศปรากฏแทบจะทุกส่วนของร่างกาย เนื้อตัวเจ็บปวดราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆ โทโมฮิสะนอนร้องไห้อยู่ทั้งคืน คนแรกที่เขาคิดถึงคือ “แม่”  เขาค่อยๆ ยันตัวประคองร่างกายอันแสนบอบช้ำกลับบ้าน หวังเพื่อได้ยินคำปลอบประโลมจากคนเป็นแม่  แต่ความเจ็บปวดทางกายนั้นยังไม่เจ็บปวดเท่าคำพูดเชือดเฉือนของคนที่เขาหวังพึ่งมากที่สุด...

                      “แกหายหัวไปไหนมา  บ้านช่องไม่กลับ ทำตัวเสเพล เป็นเด็กใจแตก แกมันก็สารเลวเหมือนพ่อของแก ... แล้วสภาพแกยังกับไปโดนรุมโทรมมา สำส่อนไม่เลือกจริงๆ เลยนะแก ถ้าเป็นผู้หญิงก็คงจะท้องไม่มีพ่อแน่ๆ เลวเหมือนพ่อแกจริงๆ”

                      โทโมฮิสะยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาอีกครั้ง สูดหายใจเข้าลึกๆ เงยหน้าเพื่อกั้นน้ำตาเอาไว้ แต่ไม่ไหวจริงๆ ทำไมนะ ทำไมเขาถึงได้อ่อนแอขนาดนี้  ร่างบางมองไปยังห้องฉุกเฉินอีกครั้ง ก่อนตัดสินใจเดินออกไปจากที่ตรงนี้ 

                      “ขอบคุณนะครับที่ช่วยชีวิต ทั้งที่ผมไม่รู้ว่าชีวิตผมมีค่าพอรึเปล่า”  โทโมฮิสะพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหันหลังเดินออกไป โทมะที่เสร็จจากการทำแผลที่หัวไหล่เดินออกมายังที่นั่งรอไม่เห็นเด็กน้อยแววตาโศกก็วิ่งหาจนทั่ว ...ดึกดื่นป่านนี้กับสภาพจิตใจที่ย่ำแย่แบบนั้น จะคิดทำอะไรอีกก็ไม่รู้...  โทมะวิ่งมาจนถึงหน้าโรงพยาบาล เห็นร่างบางเดินลิบๆ อยู่ในความมืด โดยไม่ทันคิดอะไร จิตใต้สำนึกเขาสั่งให้เขาวิ่งไปและคว้าข้อมือร่างบางไว้ ก่อนจะดึงเข้ามากอดอย่างปลอบโยน โทโมฮิสะตกใจกับการกระทำนั้น แต่น่าแปลกที่ร่างกายเขาทำได้แค่เพียงตอบสนองอ้อมกอดนั้น ก่อนจะสะอื้นไห้กับอกกว้าง โทมะลูบหัวปลอบอย่างแผ่วเบา

                      “คิดจะไปไหนอีก ค่ำมืดแบบนี้ ถ้าอยากกลับบ้านฉันจะไปส่งเอง”  โทมะพูดเบาราวเสียงกระซิบ

                      ร่างบางในอ้อมแขนไม่ได้ตอบอะไร มีแต่เสียงร้องไห้ที่ดังหนักขึ้น

                      “ถ้ายังไม่รู้ว่าจะไปไหน ก็ไปกับฉัน ฉันจะดูแลนายเอง”  โทมะพูดราวกับให้คำสัญญา ความรู้สึกอุ่นวาบแล่นเข้าสู่หัวใจเย็นชาของคนตัวเล็ก ก่อนจะซุกหน้าลงไปในอ้อมกอดนั้นอีก โทมะกระชับอ้อมกอดให้แน่นยิ่งขึ้น

                  โทมะนั่งมองคนแปลกหน้าที่กลายมาเป็นเด็กในปกครองนอนหลับอยู่บนเตียงนุ่มๆ ของเขา ใบหน้าสวยที่เคยเต็มไปด้วยคราบน้ำตา เวลานี้มันสะอาดหมดจดชวนมอง เขานั่งมองใบหน้าหวานของเด็กน้อยคนนี้อย่างหลงไหล โทมะเอื้อมมือไปปัดปอยผมสีน้ำตาลที่ปรกหน้าร่างบางอย่างเบามือ โทโมฮิสะขยับหน้าหนีเล็กน้อย ก่อนจะซุกแก้มป่องๆ ลงกับหมอนใบใหญ่ โทมะยิ้มน้อยๆ ก่อนจะขยับผ้าห่มให้โทโมฮิสะ แล้วก้มลงจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากมน

                      “ฉันไม่รู้ว่าที่ผ่านมานายเจอเรื่องเลวร้ายขนาดไหน แต่จากนี้ไป... ฉันจะดูแลนายเอง”  โทมะกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู ร่างบางยิ้มบางๆ ที่มุมปากราวกับรับรู้สิ่งที่โทมะบอก

                      เสียงรถแล่นเข้ามา โทมะเหลือบมองนาฬิกาบอกเวลาตีสองสี่สิบห้า โทมะส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะออกจากห้องไปเพื่อพบน้องชาย ทันทีที่ประตูบ้านเปิดออก ชายหนุ่มในชุดหนังสีดำก็เดินเข้ามาพร้อมกับกลิ่นเหล้าคละคลุ้ง

                      “อ้าว พี่ยังไม่นอนอีกหรอ นี่มันดึกแล้วนะฮะ”  แม้จะอยู่ในอาการเมา แต่ร่างสูงก็ยังคุมสติตัวเองได้เป็นอย่างดี

                      “ยังหรอก พอดีมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ...จิน เมื่อไหร่นายจะเลิกทำตัวแบบนี้แล้วก็มาช่วยกันดูแลโรงพยาบาลสักที” โทมะว่าหลังจากที่น้องชายเอาแต่เที่ยวเตร่

                      “ผมไม่ชอบกิจการประเภทนี้นี่ครับ ทำไมเราจะต้องฝืนธรรมชาติในการยื้อชีวิตคนไว้ด้วย การได้เงินด้วยวิธีนี้ มันเห็นแก่ตัว” 

                      “นายจะไม่พูดแบบนี้แน่ ถ้าคนที่ใกล้จะตายเป็นคนที่นายรัก”  โทมะพยายามข่มอารมณ์ ไม่ว่ากี่ครั้งที่คุยกับจินเรื่องนี้ มักจบลงด้วยการทะเลาะทุกครั้ง

                      “คงไม่มีวันนั้นหรอกครับ เพราะผมไม่คิดจะรักใคร ...ถ้าจะคุยกันเรื่องนี้อีก ผมไปนอนดีกว่า”  จินตัดบทแล้วก็เดินขึ้นชั้นสองไป ทิ้งให้โทมะถอนหายใจอย่างปลงๆ กับความคิดของน้องชาย ...จิน คิดแบบนี้ตั้งแต่แม่ตายสินะ ... ความเสียใจกับการสูญเสียครั้งนั้นทำให้จินไม่เชื่อถือการรักษาของแพทย์อีกเลย ซ้ำยังมองว่าธุรกิจโรงพยาบาลเป็นบาปอีกด้วย  เพราะขัดคอกันเรื่องนี้ โทมะเลยไม่มีโอกาสได้บอกจินเรื่องของโทโมฮิสะ

                     

                     

                      แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง  โทโมฮิสะหรี่ตาขึ้นเพื่อปรับแสง พลางมองนาฬิกาที่ติดอยู่ที่ผนัง

      .... แปดโมงสามสิบห้า...

                      ร่างบางลุกลี้ลุกลนลงจากเตียง ก่อนจะนึกได้ว่า เขาไม่ได้อยู่ที่บ้าน ไม่จำเป็นต้องตื่นแต่เช้ามาเตรียมอาหาร ซักผ้า ถูบ้าน เหมือนตอนที่เคยอยู่ที่บ้านอีกแล้ว ร่างบางทรุดลงกับเตียงแววตาเหม่อลอย เขาอยู่ในบ้านนี้ด้วยความเมตตาจากคุณหมออิคุตะ แต่ว่าเขาอยู่ในฐานะอะไรกันล่ะ ... พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นถ้วยโจ๊กกับนมอุ่นๆ วางอยู่บนโต๊ะที่หัวเตียงพร้อมกับกระดาษโน๊ตแผ่นเล็กๆ

                      .... เห็นหลับอยู่ เลยไม่อยากปลุก

                      ฉันไม่เคยกินอาหารเช้าเลยไม่รู้จะทำอะไรให้

                      หวังว่าคงกินได้นะ ฉันต้องเข้าเวรเช้ากลับมาจะซื้อของมาฝากนะ

                                                                      -โทมะ-

                      โทโมฮิสะยิ้มกับกระดาษโน๊ตแผ่นเล็กนั้น ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านเข้าสู่หัวใจอีกครั้ง โทโมฮิสะแนบกระดาษแผ่นน้อยไว้กับอก ก่อนจะหันไปสนใจกับอาหารเช้าตรงหน้า เขาคิดไปเองหรือเปล่าไม่รู้ แต่ตั้งแต่เกิดมา... นี่เป็นอาหารเช้ามือที่อร่อยที่สุด หลังจากอาบน้ำเรียกความสดชื่นแล้ว โทโมฮิสะก็เดินสำรวจรอบๆ บ้าน เขาพบกับแม่บ้านและคนสวนซึ่งมีท่าทีอ่อนน้อม จนเจ้าตัวทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว คงเป็นเพราะโทมะได้กำชับทั้งสองคนก่อนจะออกจากบ้านไปให้ดูแลโทโมฮิสะระหว่างที่โทมะไม่อยู่  ร่างบางเดินเล่นจนรอบบ้านก็ไม่มีอะไรให้ทำอยู่ดี แม้จะของานจากแม่บ้านและคนสวน แต่ทั้งคู่ก็ปฏิเสธ หลังจากทานอาหารมื้อกลางวันจากฝีมือแม่บ้าน โทโมฮิสะจึงได้แต่นั่งแกล่วอยู่อย่างเบื่อๆ  พลันร่างบางก็เหลือบไปเห็นตู้ใบหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยข้าวของน่ารัก ทั้งผ้าพันคอ ตุ๊กตาไหมพรม ซึ่งเป็นของแฮนด์เมด แต่ตู้ใบงามกลับถูกปล่อยให้ฝุ่นเกาะเต็มไปหมด ด้วยความชอบส่วนตัว ทำให้เจ้าตัวหยิบของเหล่านั้นขึ้นมาดู  และปัดฝุ่นออกอย่างเบามือ

                      “น่ารักจังเลยนะ”  โทโมฮิสะพึมพำกับตัวเอง

                      โทโมฮิสะหยิบเสื้อไหมพรมสีน้ำตาลขึ้นมาดูอย่างสนใจ แต่น่าเสียดายที่เสื้อตัวนี้ยังถักไม่เสร็จ โทโมฮิสะมีความคิดที่จะถักเจ้าเสื้อตัวนี้ต่อ หากแต่ร่างทั้งร่างก็ต้องหมุนคว้าง เมื่อถูกแรงกระชากจากร่างสูงที่วิ่งลงมาจากบันไดทันทีที่เห็นโทโมฮิสะกำลังเข้าไปวุ่นวายกับของที่เขารักที่สุด

                      “ปล่อยมือจากเสื้อตัวนี้เดี๋ยวนี้นะ!  เสียงร้องห้ามดังขึ้นจนแทบกลายเป็นเสียงตวาด โทโมฮิสะเผลอปล่อยเสื้อตัวนั้นลงพื้นด้วยความตกใจ ยิ่งสร้างความโกรธเคืองให้กับร่างสูงตรงหน้ามากยิ่งขึ้น  แรงบีบที่แขนแรงขึ้นจนโทโมฮิสะร้องแต่ไม่มีวี่แววว่าคนตรงหน้าจะปล่อย ร่างสูงออกแรงมากขึ้นจนโทโมฮิสะต้องบิดตัวตามไปด้วยเพื่อลดความเจ็บปวด จนตัวเองเสียการทรงตัวลงไปกองกับพื้น

                      “เก็บเสื้อตัวนี้ขึ้นมา เร็ว!  เสียงเหี้ยมของร่างสูงทำให้โทโมฮิสะลุกลี้ลุกลน จังหวะที่ส่งคืนเสื้อให้ เป็นจังหวะเดียวที่โทโมฮิสะได้มองหน้าคนตรงหน้าได้อย่างชัดเจน ความทรงจำที่แสนเลวร้ายกลับมาปรากฏตรงหน้าราวกับปีศาจร้าย โทโมฮิสะสะบัดแขนหนีอย่างขยะแขยง

                      สายตาที่โกรธเคืองของจินเปลี่ยนเป็นสายตาประหลาดใจแต่ก็แค่เพียงแวบเดียว ภาพเด็กหนุ่มในอ้อมกอดเมื่อคืนวานก็ผุดขึ้นมาในความคิด รอยยิ้มหื่นๆ ผุดขึ้นที่มุมปาก

                      “อ๋อ ที่แท้ก็เด็กใจแตกเมื่อคืนวานนี่เอง ติดใจฉันจนต้องตามมาถึงบ้านเลยหรอ”  จินเดินเข้าไปคว้าข้อมือร่างบาง โทโมฮิสะสะบัดข้อมืออย่างแรงจนหลุดจากการเกาะกุม

      ....เพี๊ยะ....

                  จินหน้าหันไปตามแรงฝ่ามือ โทโมฮิสะมองหน้าแดงๆ เป็นรอยนิ้วมือของตัวเองด้วยแววตาโกรธสุดขีด

                      “คิดว่าใครเขาอยากจะเจอคนสารเลวอย่างนายอีก! เป็นความซวยของฉันจริงๆ ที่เจอนายอีก”  โทโมฮิสะว่าพลางหันหลังจะวิ่ง แต่ก็ช้ากว่าร่างของจินที่โอบกอดมาจากด้านหลัง พร้อมกับเสียงกระซิบแหบพร่า

                      “ฉันจะทำให้นายถอนคำพูดให้ได้  คืนนั้นคนที่ร้องขอให้ฉันทำอีก ก็คือนายไม่ใช่หรอ”  จินว่าพลางฝังจมูกลงกับแก้มนุ่มๆ ของโทโมฮิสะ ร่างบางทั้งดิ้น ทั้งร้อง แต่ยิ่งขัดขืนก็ดูเหมือนอ้อมกอดนั้นจะยิ่งแน่นขึ้น จินกึ่งลากกึ่งอุ้มร่างบางเข้าไปยังห้องนอนชั้นล่างซึ่งเป็นห้องนอนของโทมะที่โทโมฮิสะอาศัยนอนเมื่อคืน

                      เตียงใหญ่สะเทือนทันทีที่ร่างบางถูกทิ้งลงบนนั้น ตามด้วยร่างสูงที่ทาบทับลงมาทันทีโดยไม่ปล่อยให้ร่างบางได้ขัดขืนแม้แต่น้อย จินรวบข้อมือสองข้างของโทโมฮิสะไว้เหนือหัวด้วยมือเดียว และใช้อีกมือสำรวจร่างกายโทโมฮิสะอย่างหยาบโลน เขาไล่นิ้ววนตั้งแต่ใบหู พวงแก้ม ไล่ลงมาถึงปากอิ่ม ก่อนจะแทนที่ด้วยริมฝีปากอ่อนนุ่ม โทโมฮิสะเม้มปากแน่น หากแต่จังหวะที่หายใจเข้าก็โดนลิ้นที่เชี่ยวชาญของจินแยกริมฝีปากเข้าไปสำรวจโพรงปากที่หวานและชื้นนั่นได้สำเร็จ ลมหายใจที่ขาดห้วงของโทโมฮิสะ ทำให้ร่างบางต้องอ้าปากเพื่อหายใจเข้า ยิ่งเป็นจังหวะให้จินได้ใช้ลิ้นทั้งดูดดุน ขบเม้มริมฝีปากอย่างดูดดื่ม  ร่างสูงถอนริมฝีปากก่อนจะกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู

                      “รู้อะไรมั้ย ... ว่าฉันไม่เคยคิดจะมีอะไรกับใครเป็นครั้งที่สองหรอกนะ แต่สำหรับนาย นี่คือบทเรียนว่าอย่ามายุ่งกับของรักของหวงของคนอื่น”   พูดจบก็บดขยี้ริมฝีปากที่บวมช้ำของโทโมฮิสะซ้ำอีก ร่างบางเจ็บปวดจนน้ำตาไหล พลางส่งเสียงประท้วงในลำคอ จวบจนจินถอนริมฝีปากออก ร่างบางจึงได้พูดออกมาทั้งน้ำตา

                      “แล้วนายไม่คิดบ้างหรอว่า นายกำลังทำลายของรักของคนอื่นอยู่”  ร่างบางพูดพลางนึกถึงอ้อมกอดอันอบอุ่นเมื่อคืน ...อ้อมกอดที่โทมะมีให้เขา...

                      “หึ เด็กใจแตกอย่างนาย  มีค่าพอให้คนอื่นรักด้วยหรอ”  คำพูดเสียดแทงจากจิน ทำให้โทโมฮิสะจุกจนพูดอะไรไม่ออก นอกจากน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ขาดสาย จินอึ้งกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของโทโมฮิสะหากแต่ก็คิดว่านี่การกระทำที่เสแสร้ง

                      “อย่ามาทำเป็นบีบน้ำตาหน่อยเลย จะโก่งค่าตัวรึไง คืนนั้นก็ได้ไปหลายหมื่นนี่”  จินว่าพลางซุกไซ้ไปยังซอกคอและงับเข้าที่ต้นคอขาว โทโมฮิสะบิดร่างหนีแต่ก็ไปไหนไม่ได้

                      “นายว่ายังไงนะ ค่าตัว...หลายหมื่นงั้นหรอ”   โทโมฮิสะพูดเบาราวกับพึมพำกับตัวเอง... นี่เขาโดนหลอกไปขายอย่างนั้นหรอ... แล้วน้ำตาแห่งความคับข้องใจก็ไหลออกมาอีก

                      “คงเป็นครั้งแรกที่ได้เงินเยอะขนาดนั้นล่ะสิ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ครั้งนี้ ...ถ้าทำให้ฉันพอใจล่ะก้อ ฉันจ่ายนายเป็นสองเท่าเลย" จินว่าพลางสอดมือเข้าไปในกางเกงของโทโมฮิสะและลูบคลำส่วนที่แข็งขืนที่สุดในร่างกาย โทโมฮิสะกัดปากจนรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือด เขาไม่มีวันร้องขอในสิ่งที่อับอายแบบนี้แน่

                      “ร้องออกมาสิ ว่านายต้องการ เหมือนคืนนั้นไง  จินว่าพลางปลุกเร้าอารมณ์คนใต้ร่าง โทโมฮิสะไม่รู้ว่าร่างกายตนเองตอบสนองต่อคนแปลกหน้าคนนี้ยังไง แต่ทุกวินาทีที่ผ่านไป ในหัวเขาคิดทุกคำที่ผู้ชายป่าเถื่อนคนนี้พูดออกมา

      ....เด็กใจแตกอย่างนาย มีค่าพอให้คนอื่นรักด้วยหรอ....

                      นั่นสินะ เขาเหลวแหลกขนาดนี้ แล้วโทมะยังจะรักเขาอยู่หรือเปล่า...

       

       

                      ร่างบางลืมตาขึ้นมาพร้อมกับความเจ็บปวดไปทั้งตัว ตรงหัวนอนเห็นเงินก้อนหนึ่งวางอยู่ แต่ไม่คิดจะหยิบดูเลยด้วยซ้ำ เขาค่อยๆ พาตัวเองไปที่ห้องน้ำ ก่อนที่โทมะจะกลับมาเขาต้องล้างความสกปรกโสมมที่ผู้ชายคนนั้นฝากไว้เสียก่อน ภาพเขาเองสะท้อนในกระจกเงา ตามเนื้อตัวมีรอยน่ารังเกียจเต็มไปหมด ทั้งรอยเก่าที่ยังไม่จาง และรอยใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นจากคนป่าเถื่อนเมื่อครู่ โทโมฮิสะขัดรอยนั้นเบาๆ ก่อนจะเพิ่มเป็นแรงขึ้นราวกับจะฉีกให้รอยนั้นมันหลุดออกไป โทโมฮิสะทรุดลงร้องไห้กับพื้นห้องน้ำ เขาเปิดฝักบัวให้น้ำไหลรดลงมา ราวกับอยากชำระล้างสิ่งสกปรกออกไปให้หมด แม้จะรู้ว่าความจริงมันไม่ได้ลบเลือนไปเลยแม้แต่น้อย

                      ร่างบางประคับประคองร่างกายที่แทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ไปยังห้องรับแขก เพราะเห็นจากหน้าต่างว่ารถของโทมะเข้ามาจอดแล้ว หากแต่สีหน้าก็ต้องสลดลงเมื่อเห็นโทมะนั่งคุยกับผู้ชายสารเลวเมื่อครู่ โทมะพยักหน้าให้เขาเข้าไปหา เขาเดินเข้าไปนั่งข้างโทมะอย่างหวาดๆ โดยที่ไม่ทันได้สังเกตแววตาที่เปลี่ยนไปของจินเลยแม้แต่น้อย

                      “นี่ไงจิน เด็กคนที่พี่เล่าให้ฟัง โทโมะฮิสะนี่จิน น้องชายฉันเอง”  โทมะแนะนำให้คนแปลกหน้าสองคนที่รู้จักกันดีได้รู้จักกัน ต่างไม่มีคำพูดใดๆ หลุดมาจากทั้งสองฝ่าย โทมะมองสองคนอย่างไม่เข้าใจนัก

                      “จากนี้ไปเขาจะอยู่ที่นี่กับเรา”  โทมะหันไปบอกจิน

                      “ในฐานะอะไร”  จินถาม

                      “คนรักของฉัน”  โทมะตอบ ไม่ใช่เฉพาะแค่จินหรอก ที่ตกใจ โทโมฮิสะเองก็ตกใจไม่แพ้กัน

                      “ไม่ได้! ยังไงพี่ก็รักเด็กคนนั้นไม่ได้”  จินเสียงแข็ง

                      “ทำไม! ” เสียงโทมะดังไม่แพ้กัน

                      “เด็กคนนั้นไม่คู่ควรกับพี่เลยสักนิด ไม่มีค่าพอที่พี่จะรัก”  จินพูดออกไปโดยไม่ได้ดูว่าเวลานี้ร่างบางกำลังสะอึกสะอื้นจนตัวโยน... นี่เขาไม่มีค่ามากพอให้ใครรักอีกแล้วใช่มั้ย... ตอนนี้เขากำลังถูกผลักไสราวกับไม่ใช่คนอีกแล้วใช่มั้ย โทมะอึ้งไปนิดนึงก่อนจะหันมามองร่างบางที่สองแก้มอาบไปด้วยน้ำตา

                      “พี่ไม่สนว่าเด็กคนนี้จะผ่านอะไรมา แต่จากนี้ไปพี่จะอยู่ข้างๆ เขา เพราะเขามีค่าสำหรับพี่”  โทมะยืนกราน

                      “โธ่เว้ย!!~” จินสบถแล้วเดินจากไป  โทมะนั่งลงกอดปลอบร่างบางที่ยังคงร้องไห้ไม่หยุด

                      “รู้อะไรมั้ยครับโทมะซัง ผมไม่มีคุณค่ามากพอที่จะให้คุณรักอย่างที่น้องชายคุณบอกนั่นแหละ”  โทโมฮิสะว่าพลางสะอึกสะอื้น

                      “อย่าไปถือสาอะไรกับคำพูดของจินเลย เจ้านั่นก็แค่กลัวการถูกแย่งของรัก ตั้งแต่แม่ตายไป มันก็เป็นแบบนี้แหละ” โทมะว่าพลางลูบศีรษะ

                      “เห็นนั่นมั้ย เสื้อสีน้ำตาลตัวนั้น เป็นของที่จินรักมาก เพราะแม่สัญญาว่าจะถักให้ แต่แม่ก็... ตายไปซะก่อน จริงๆ แล้วจินเป็นคนที่อ่อนโยนมากเลยนะ เพียงแค่แสดงความรู้สึกไม่เป็นเท่านั้นเอง ... วันที่แม่ตายจินไม่ร้องไห้เลย แต่ฉันรู้ว่ามันเสียใจ เพราะพื้นฐานจิตใจที่อ่อนแอแบบนั้น เลยทำให้อารมณ์ไม่ค่อยคงที่เท่าไหร่ โทโมฮิสะอย่าไปคิดจริงจังกับคำพูดมันเลยนะ” โทมะพยายามปลอบ แต่โทโมฮิสะกลับคิดได้อีกเรื่องหนึ่ง .... ของรักของจินอย่างนั้นหรอ... ไม่แปลกเลยที่จินจะหวงเสื้อขนาดนั้น

                      “ผม...เข้าใจครับ”  พลางซบลงกับอกกว้างของโทมะที่เวลานี้มันไม่สนิทใจเหมือนเมื่อคืนอีกแล้ว

       

       

                      ...ปัง...

                      เสียงจินกระแทกประตูห้องนอน ก่อนจะมีเสียงข้าวของหล่นกระจายบนพื้น ภายในห้องนั้นจินนั่งกุมขมับอยู่บนเตียง ปวดหัวราวกับมันจะแตกเป็นเสี่ยงๆ  ทำไมเขาถึงได้โกรธขนาดนี้นะ คงเป็นเพราะเด็กใจแตกคนนั้นกำลังจะก้าวเข้ามาเป็นคนรักของพี่ชายที่แสนดีของเขา ความเน่าเฟะโสมมของเด็กขายตัวไม่คู่ควรเลยสักนิดกับคุณหมอผู้เพียบพร้อม ... นั่นเป็นสิ่งที่เขาบอกตัวเอง... แต่มันมีเหตุผลเท่านั้นจริงๆ หรอ... ความไร้เดียงสากับเรื่องบนเตียงของเด็กคนนั้นทำให้เขาเกือบจะสงสาร แต่พอได้เห็นเด็กคนนั้นเข้าไปยุ่มย่ามกับของของแม่ เขาก็อารมณ์เสียและพาลทำเรื่องไม่ดีกับเด็กคนนั้นเข้าอีกจนได้ ...เขาเป็นคนแรกของเด็กคนนั้น...เขารู้ดี เพียงแค่ไม่อยากยอมรับเท่านั้น ...

                      “มีคนดีดีที่ไหนเขายอมนอนกับผู้ชายแลกเงินกันล่ะ”  จินพูดพลางเหยียมมุมปาก

      ........................................................................

       

                      เช้าวันรุ่งขึ้นโทโมฮิสะตื่นเช้ากว่าเคย แต่ยังคงอ้อยอิ่งอยู่ในห้อง ด้วยความที่ไม่อยากออกไปเผชิญหน้ากับน้องชายของโทมะ... จิน... ชื่อนี้ได้ยินแล้วปวดหัวใจเหลือเกิน

                      บนโต๊ะตรงหัวนอนยังคงมีอาหารเช้าพร้อมกระดาษโน๊ตวางอยู่เหมือนเคย โทโมฮิสะหยิบมันขึ้นมาอ่านด้วยแววตาเหม่อลอย  โทมะรักเขาหรือเพียงแค่สงสารเขากันแน่ ... และถ้าหากมันเป็นความรักจริงๆ เขาจะต้องทำหน้ายังไงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับน้องชายของคนรัก ... คนที่ฝากรอยแผลที่แสนเจ็บปวดไว้กับหัวใจของเขา คิดได้แค่นี้เขาก็ปวดหนึบขึ้นมาตรงหัวใจ มือน้อยควานหาขวดยาที่นำติดตัวมาด้วย โทโมฮิสะหายใจเข้าออกอย่างยากลำบาก มือหนึ่งยังคงกดตรงหัวใจ หวังว่ามันจะบรรเทาความปวดลงได้บ้าง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย มือบางกวาดไปโดนถ้วยโจ๊กหล่นลงพื้นแตกกระจาย พร้อมๆ กับสติอันเลือนลางที่ดับวูบลง...

                      ร่างบางกระพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับแสง ก่อนที่จะเห็นเพดานสีขาว และขวดน้ำเกลือที่หยดไม่ขาดสาย ทำให้เขารู้ว่าเวลานี้เขาอยู่ในโรงพยาบาล เสียงคุยกันของคนดังมาจากหน้าห้อง

                      “เด็กคนนี้คงเป็นโรคนี้มาได้สักพักแล้วล่ะ อาการรุนแรงใช้ได้เลยนี่”  เสียงที่ไม่คุ้นเคยเริ่มบทสนทนาขึ้นก่อน โทโมฮิสะเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ

                      “อืม... ถึงขนาดหมดสติเลยน่าเป็นห่วงมาก”  โทมะพูดขึ้น

                      “จะเอายังไงต่อไป ผ่าตัดดีมั้ย Myocardial infarction เป็นอะไรที่ไม่น่าปล่อยไว้นะ” 

                      “ฉันต้องรักษาเขาไว้ให้ได้ เตรียมห้องผ่าตัดให้ทีนะ เขาไหวเมื่อไหร่ เราจะผ่าตัดทันที”  โทมะพูดจบก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับคุณหมอชิโรตะ โทโมฮิสะละล่ำละลัก แต่ก็พยายามปั้นสีหน้าเป็นปกติราวกับไม่รู้เรื่องราวที่คุณหมอทั้งคู่คุยกัน

                      “ตื่นแล้วสินะ รู้มั้ยนายทำฉันตกใจแทบแย่”  โทมะว่าพลางลูบศีรษะโทโมฮิสะอย่างอ่อนโยน

                      “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะครับ”  โทโมฮิสะว่าพลางซุกหน้าลงกับอกกว้าง

                      “ไม่เป็นไรนะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นฉันจะอยู่ข้างๆ นายเอง ไม่ต้องกลัวนะ  โทโมฮิสะไม่ตอบได้แต่พยักหน้ากับอกกว้าง  คุณหมอชิโรตะที่ยืนอยู่ด้วยยิ้มกับภาพตรงหน้า

                      “แบบนี้ฉันคงต้องโอนคนไข้คนนี้ให้เป็นคนไข้ของนายแล้วล่ะ” 

                      ....ปัง...

                      ทั้งสามคนหันไปมองที่ประตูห้องเป็นตาเดียวกัน ตรงหน้าปรากฏภาพคนที่โทโมฮิสะไม่คิดว่าจะได้เห็นมากที่สุด

      ...จิน...

       แวบหนึ่งโทโมฮิสะคิดว่าเขาเห็นแววตาห่วงใยสะท้อนออกมาจากดวงตาคู่นั้น แต่คงตาฝาดไป เพราะทันทีที่ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ แววตาและน้ำเสียงที่เย้ยหยันก็ส่อเสียดหัวใจดวงน้อยที่เจ็บอยู่แล้วให้ยิ่งเจ็บมากขึ้น

                      “นึกว่าจะเป็นอะไรมาก ถึงขึ้นต้องเข้าโรงพยาบาล ที่แท้ก็แค่เปลี่ยนสถานที่ออดอ้อนกันเท่านั้นเอง”  จินว่าพลางวางกระเช้าดอกไม้บนโต๊ะอย่างแรง

                      “พูดอะไรคิดถึงใจคนป่วยบ้างนะจิน”  โทมะปราม

                      “จะให้คิดยังไงล่ะครับ กอดกันกลมจนแทบจะนอนทับกันแบบนั้น เหมือนกับไม่แคร์สายตาใครเลยยังงั้นแหละ นายคงง่ายแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้วล่ะสิ”  ท้ายประโยคจินยังไม่วายแขวะโทโมฮิสะที่นั่งก้มหน้านิ่ง

                      “จิน! มันจะมากไปแล้วนะ กลับไปคุยกันที่บ้านดีกว่า พี่มีเรื่องจะคุยกับแก”  โทมะว่าพลางลากจินออกไป โดยมีคุณหมอชิโรตะเดินตามออกไป

                      โทมะและจินกลับไปนานแล้ว โทโมฮิสะเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย คำพูดเสียดแทงของจินจี้ใจดำทุกคำ ... เหมือนที่แม่เคยพูด... ทำไมถึงได้โหดร้ายแบบนี้นะ ร่างบางกอดเข่าและร้องไห้ เหนื่อยเหลือเกิน... จะต้องทนเป็นคนไร้ค่าให้เขาด่าว่าแบบนี้อีกนานแค่ไหนกัน...

       

                      ทันทีที่กลับถึงบ้าน โทมะก็เริ่มเปิดฉากพูดเรื่องโทโมฮิสะกับจินทันที

                      “แกไม่มีสิทธิ์ไปพูดแบบนั้นกับโทโมฮิสะนะ”

                      “ทำไมครับ ยังไม่ทันได้เป็นอะไรกันก็แตะไม่ได้ซะแล้วหรอ”

                      “จิตใจเขากำลังอ่อนแอ แกไม่ควรไปซ้ำเติมความรู้สึกเขา”

                      “โห ฟังดูสูงค่าจังเลยนะครับ ก็แค่เด็กขายตัวคนหนึ่ง”

      ....เพี๊ยะ....

                      “อย่าพูดอะไรพล่อยๆ แบบนี้อีก โทโมฮิสะไม่ได้ขายตัวด้วยความสมยอม เขาโดนหลอกมา”  โทมะพยายามข่มอารมณ์ให้เป็นปกติ จินหน้าชาจากแรงมือของพี่ชาย แต่นั่นยังไม่ทำให้เขานิ่งได้เท่ากับประโยคหลัง ...โดนหลอกมา...อย่างนั้นหรอ

                      “...”

                      “ก่อนที่พี่จะเจอโทโมฮิสะ เช้าวันนั้นพี่ได้เย็บแผลให้เด็กคนหนึ่ง พี่ถามเค้าว่าไปมีเรื่องกับใครมา เด็กนั่นบอกว่าพวกนักเลงเจ้าหนี้ แล้วจู่ๆ เด็กคนนั้นก็ร้องไห้ แล้วก็บอกให้พี่ไปช่วยเพื่อนเขาที่เขาเอาไปขายในผับแห่งหนึ่งเพื่อเอาเงินมาใช้หนี้พนันบอล ตอนนั้นพี่คิดว่ามันเป็นเรื่องโกหก แต่พี่มารู้ว่าเป็นเรื่องจริงก็ตอนที่เจอโทโมฮิสะนี่แหละ”

                      “...”

                      “พี่เริ่มสืบเรื่องราวของเด็กคนนี้จากข้อมูลของเพื่อนเค้า แล้วแกรู้อะไรมั้ย ... โทโมฮิสะเป็นคนที่น่าสงสารมาก เขาเกิดมาในครอบครัวที่ไม่พร้อม ไม่เคยได้รับความรักแม้กระทั่งความรักจากแม่”

                      “พอที พี่เลิกพูดได้แล้ว”  จินพูดเสียงเบา ความรู้สึกผิดถาโถมเข้าสู่หัวใจ

                      “...”

                      “ไม่ว่าพี่จะหาเหตุผลได้มากมายขนาดไหน แต่พี่ก็รักเด็กคนนั้นไมได้”

                      “ทำไม!

                      “เพราะเขาเป็นของผม”

                      “...”

                      “คนที่ซื้อเด็กคนนั้น ก็คือผม” 

                      “จิน...”

                       Trrrrrrr………… Trrrr

                  เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะบทสนทนา โทมะหายไปรับโทรศัพท์ก่อนจะวิ่งกลับมาด้วยสีหน้าตระหนก

                      “โทโมฮิสะหายตัวไป!

       

      ……………………………………………………………………………………………………………

                     

                  ร่างบางเดินมาเรื่อยๆ ตามเส้นทางคุ้นเคยที่เดินมาตั้งแต่เป็นเด็ก มือน้อยยังกุมตรงหัวใจ มีบางครั้งที่มันปวดหนึบขึ้นมา แต่ร่างบางก็ยังข่มใจเดินต่อไป จนกระทั่งถึงบ้านหลังหนึ่ง โทโมฮิสะหยุดยืนและมองออดอย่างชั่งใจ แต่ก่อนที่เขาจะกดออด เสียงสดใสของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็ร้องทักขึ้นซะก่อน

                      “พี่โทโมะ พี่โทโมะกลับมาแล้วหรอคะ”  ซาโตมิ น้องสาวต่างบิดาวัย 9 ขวบวิ่งเข้ามากอดโทโมฮิสะ ร่างบางกอดตอบน้องสาวอย่างอบอุ่น

                      “พี่แค่อยากมาหาซาโตมิจังกับแม่นะ ต่อจากนี้พี่คงไม่กลับมาที่นี่อีกแล้วนะ” ว่าพลางลูบหัวน้องสาวด้วยความรัก

                      “ทำไมพี่โทโมะจะไม่กลับมาอยู่กับเราแล้วล่ะคะ”

                      “บางทีพี่อาจจะไปอยู่กับพ่อที่โอซาก้า”  โทโมฮิสะบอกน้องออกไปทั้งที่ชีวิตนี้เขาเพิ่งพบหน้าพ่อเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

                      “ไม่นะ เค้าไม่ให้พี่ไป”  ซาโตมิว่าพลางกอดพี่ชายไว้แน่น

                      “พี่ก็ไม่อยากไป แต่พี่จำเป็น ...พี่ฝากนี่ให้แม่ด้วยนะ”  โทโมฮิสะยื่นซองจดหมายซองหนึ่งให้ซาโตมิก่อนจะผละออกจากน้องสาวที่ทำท่าจะร้องไห้

                      “พี่สัญญานะว่าจะกลับมาหาเค้ากับแม่บ้าง”   โทโมฮิสะพยักหน้าก่อนจะโบกมือลาน้องแล้วเดินจากไป

       

                      จดหมายฉบับนั้นที่ฝากไว้ คงทำให้แม่เห็นคุณค่าในตัวเค้าบ้าง...

                      ผมรู้ว่าผมเกิดมาท่ามกลางความไม่ต้องการของแม่

                      ผมคงทำให้แม่ลำบากมาก...ขอโทษนะครับ

                      ผมไม่มีค่าพอให้แม่รัก...แม่เคยบอกแบบนั้นใช่มั้ยครับ

                      วันนี้ผมรู้แล้วครับว่าสิ่งที่แม่พูดเป็นเรื่องจริง

                      ผมไม่มีค่าพอให้ใครรักจริงๆ ... ผมจะไปตามทางของผม

                      ชีวิตและร่างกายที่แม่มอบให้ผม... ผมขอบคุณนะครับ

                      เงินที่ได้มาจากร่างกายที่แม่มอบให้ แม้มันจะไม่ได้มาจากความเต็มใจของผม

                      ผมก็จะให้แม่ครับ...เผื่อว่าแม่จะเห็นว่าผมมีค่าพอที่แม่จะรักบ้าง...

      -          โทโมฮิสะ

       

                 

                  กว่าสองเดือนแล้วที่ร่างบางมาอาศัยกับพ่อที่โอซาก้า พ่อไม่ได้แต่งงานใหม่ แต่อาศัยอยู่กับน้องชายคนเล็กที่นี่ โทโมฮิสะจึงไม่ได้รู้สึกว่าเป็นส่วนเกินของที่บ้านนี้เลย อีกทั้งอาของเขาก็ดีกับเขามาก ด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนแอลงเรื่อยๆ ของโทโมฮิสะทำให้เขาทำอะไรได้ไม่มากนัก เขาจึงได้รับมอบหมายจากอาของเขาให้เก็บภาพลงอัลบั้มรูป

                      “เป็นไงโทโมะจัง ยังเหนื่อยอยู่รึเปล่า”   ชายหนุ่มร่างสูงค่อยๆ วางกล้องถ่ายรูปลงอย่างเบามือ แล้วมาสนใจกับผู้มีศักดิ์เป็นหลาน

                      “ทำงานแค่นี้ไม่เหนื่อยหรอก เรียวจังล่ะ วันนี้ไปถ่ายรูปที่ไหนมา”  โทโมฮิสะตอบเสียงสดใส.... ด้วยอายุที่ไม่ต่างกันมาก นิชิกิโด เรียว... น้องชายของพ่อ จึงอนุญาตให้โทโมฮิสะเรียกเรียวเฉยๆ ได้ แต่เจ้าตัวเล็กก็เรียกเขาว่าเรียวจัง ตามที่พี่ชายเขาเรียก

                      “แถวๆนี้แหละ รู้มั้ยฉันเจออะไร” 

                      “...”  โทโมฮิสะทำหน้าสงสัย

                      “ดูเอาเองก็แล้วกันนะ บางทีมันอาจจะเป็นส่วนเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปในหัวใจโทโมะจังก็ได้”  พูดจบเรียวก็เดินออกจากห้องไป โทโมฮิสะมองตามออกไป ก่อนที่จะเห็นร่างของใครบางคนที่ไม่คาดฝันว่าจะได้พบกันอีก

                      “จิน...”

      ร่างบางลุกขึ้นยืนก่อนจะรู้สึกถึงอาการปวดหนึบที่อกด้านซ้าย ร่างบางคงทรุดลงไปกองกับพื้นหากไม่มีอ้อมกอดอบอุ่นของใครบางคนตระกองกอดเอาไว้

                      “โทโมฮิสะ อย่าไปไหนอีกเลยนะ กลับไปอยู่กับฉันนะ”  เสียงนุ่มๆของจินทำให้โทโมฮิสะหัวใจเต้นแรง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตั้งแต่จากกัน หัวใจและร่างกายของเขาเรียกหาแต่คนๆ นี้

                      “จิน...”

                      “อยู่ด้วยกันตลอดไปนะ ...ฉันรักนาย” จินกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู น้ำตาโทโมฮิสะคลอเต็มตาคู่สวย

                      “ฉันไม่มีค่าขนาดนั้นหรอก ...จินเคยพูดเองไม่ใช่หรอ” 

                      “ไม่... นายมีค่ามากกว่าอะไรทั้งหมดบนโลกนี้ นายเป็นชีวิต เป็นลมหายใจของฉัน  จินว่าพลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น

                      “....” ไม่มีเสียงตอบใดๆ จากโทโมฮิสะ ความตื้นตันและความอบอุ่นจากอ้อมกอดเติมเต็มความว่างเปล่าในหัวใจ จนไม่มีที่ว่างเหลือให้ความเหงาเดียวดายอีกต่อไป ...จากนี้ หากเขาตาย เขาคงตายอย่างมีความสุข จินเชยคางของร่างบางให้เผชิญหน้ากับเขา ก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนปากอิ่ม ร่างบางยิ้มน้อยๆ ก่อนจะปิดเปลือกตาลงและรับจูบนั้นอย่างดูดดื่ม แต่พลันความรู้สึกหายใจติดขัด โลกทั้งโลกหมุนคว้าง พร้อมกับภาพขาวโพลนในสมองก็ซ้อนทับกับหน้าของจิน ก่อนที่ร่างนั้นจะทรุดลงกับพื้น จินปราดเข้าประคองด้วยความตกใจ

                      “โทโมฮิสะ โทโมฮิสะ”  

                 

       

      .........................................................................................

                      ร่างบางคล้ายได้ยินเสียงมาจากที่ไกลแสนไกล รู้สึกถึงร่างกายที่ถูกพันธการไว้ด้วยเครื่องช่วยหายใจและสายน้ำเกลือ เมื่อพยายามลืมตาจึงได้พบกับชายคนหนึ่ง คนเดียวที่ทำให้เขาร้องไห้ด้วยความเกลียดชัง และคนๆ เดียวกันนี้ก็ทำให้เขาหลั่งน้ำตาแห่งความยินดี ร่างสูงนั่งกุมมือเขาอยู่ เมื่อเห็นเขาลืมตา จินดูจะดีใจจนออกนอกหน้า โทมะที่เพิ่งเข้ามาพร้อมพยาบาลเห็นโทโมฮิสะรู้สึกตัวจึงยิ้มออก

                      “คุณเอริกะช่วยส่ง consult เทโกชิให้เขามาทำกายภาพบำบัดให้โทโมฮิสะด้วยนะ” โทมะหันไปสั่งพยาบาล

                      “ผมทำให้ก็ได้ครับ ยกแขนยกขา ผมไม่อยากให้คนอื่นมายุ่มย่ามกับโทโมฮิสะของผม”  จินเสนอตัว

                      “กายภาพบำบัดที่ฉันพูดถึง คือ Cardiovascular rehabilitation นายทำเป็นหรอ สอน breathing exercise น่ะทำ CABG ต้องมีปัญหาเรื่องการหายใจแน่”  โทมะว่า จินทำหน้างงงงกับประโยคยาวเหยียดที่โทมะพูด จึงได้แต่นิ่งเงียบ ถึงยังงั้นไม่ว่ายังไงเขาจะไม่ยอมปล่อยให้โทโมฮิสะคลาดสายตาอีกเป็นอันขาด  แค่รู้ว่าโทโมฮิสะเป็นโรคหัวใจ เขาก็รู้สึกเป็นห่วงจนต้องรีบวิ่งมาถึงโรงพยาบาลแต่แทนที่จะได้แสดงความห่วงใย ตอนนั้นกลับเห็นพี่ชายนั่งกอดคนที่ตัวเองรักซะนี่ และยิ่งไปเห็น

      ครอบครัวของโทโมฮิสะ ความรักที่มีอยู่แล้วยิ่งบวกเพิ่มความสงสารมากขึ้นไปอีก จากนี้ไปเขาจะไม่มีวันปล่อยให้คนตรงหน้าต้องเจ็บปวดอีกแล้ว

                      “เอ้อ! จริงสิ โทโมฮิสะมีคนมาเยี่ยมด้วยนะ” โทมะว่าพลางเบี่ยงตัวหลบให้ ร่างบางถึงกับน้ำตาคลอเมื่อได้เห็นร่างคุ้นตาของคนที่เขารักและรอคอยอ้อมกอดมากที่สุด

                      “แม่!

                      “โทโมะ”

                      ภาพสองแม่ลูกกอดกันทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นพลอยยิ้มตามไปด้วย

                      และแล้วสิ่งที่รอคอยมาตลอดในชีวิตก็ได้รับการเติมเต็ม

                      ทั้งความรักจากแม่....และความรักจากคนรัก

                      อย่าถามตัวเองว่ามีค่าพอให้คนอื่นรักหรือไม่... จนกว่าที่จะได้รักคนอื่นอย่างเต็มคุณค่า

       

       

      บทส่งท้าย:::::::

                      จินนั่งมองโทโมฮิสะถักเสื้อสีน้ำตาลอย่างตั้งใจ ใบหน้าหวานที่เวลานี้สวมแว่นสายตาทำให้ดูแปลกตา จินหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะพูดคล้ายรำพันกับตัวเอง แต่ตั้งใจให้โทโมฮิสะได้ยิน

                      “แว่นตาเนี่ย เวลาจูบกันจะเกะกะมั้ยนะ”  จินว่าพลางส่งสายตาหวานเยิ้มมายังโทโมฮิสะ

                      “บ้าสิ”

                      “จริงๆ นะ ฉันอยากรู้จริงๆ”  จินลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วทรุดลงนั่งข้างๆ โทโมฮิสะก่อนจะจุมพิตเบาๆ ที่ริมฝีปากอิ่ม

                      “ตอนนั้นฉันตกใจมากเลย ฉันไม่คิดว่าจินจะหวงเสื้อตัวนี้ขนาดนี้”  โทโมฮิสะว่า

                      “มันเป็นเหมือนตัวแทนของแม่นะ”  จินว่าพลางโอบร่างบางไว้กับอก

                      “แล้วตอนนี้จินไม่หวงแล้วหรอ”

                      “ไม่แล้วล่ะ เพราะว่าตอนนี้ฉันไม่ต้องการตัวแทนของแม่แล้ว ฉันมีคนๆ หนึ่งที่ฉันรักมากๆ แล้ว”  จินว่าพลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ก่อนจะพูดต่อไปว่า

                      “ รู้อะไรมั้ย ฉันไม่เคยเชื่อคำพูดของโทมะเลย แต่ฉันเพิ่งรู้สึกอยากยื้อชีวิตใครบางคนไว้ ก็ตอนที่นายหมดสติไปต่อหน้าต่อตานั่นล่ะ”

                      “ขอบใจนะ”

                      “ขอบใจอะไร”

                      “ขอบใจที่จินทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันมีค่านะสิ”

                      “ขอเปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นก็แล้วกัน”  พูดจบจินก็อุ้มโทโมฮิสะเข้าห้องไป....ทำอะไรสักอย่าง คิดต่อกันเอาเองละกันนะ ...จบเท่านี้ล่ะค่ะ ห้วนไปเปล่าไม่รู้ แต่หมดพลังงานในการแต่งแล้วค่ะ

       

       

      เมื่อวานเพื่อนไปรอรับยามะพีที่สนามบินสุวรรณภูมิล่ะ ถ้ามาจริงๆ นี่เสียดายแย่เลย

      เขียนไปเขียนมามีพล๊อตอีกเรื่องหนึ่งแล้วค่ะ ช่วงนี้สมองส่วนแต่งนิยายทำงานดีจริงๆ

      แต่สมองส่วนทำงานเนี่ย เอื่อยเฉื่อยสุดๆ พล๊อตเรื่องต่อไป...ตัวเอกก็คงเป็นหนุ่มน้อยหน้าหวานที่โผล่มาแต่ชื่อจากเรื่องนี้แหละค่ะ กะว่าจะให้เป็นภาคต่อของเรื่องนี้ .... แน่นอนว่าต้องมีหนุ่มจากโอซาก้าด้วย ปูเรื่องไว้ซะขนาดนี้ .... ต้องมีสุดที่รักสิคะ เรื่องนี้แต่งไปแต่งมา มีเรียวจังอยู่กระจึ๋งเดียวเอง เพราะงั้นเรื่องหน้า...เรียวจังต้องเป็นพระเอกค่า... ใครรับ เรียว x ยูยะไม่ได้ก็บอกนะคะ

      แต่ว่าคงไม่เปลี่ยนตัวหรอกค่ะ ก็ขอให้ทำใจกันต่อไป....555        

                       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×